บทความ

อย. คืออะไร

เคยสงสัยไหมว่าเครื่องหมาย อย. บนซองขนมมาจากไหน แล้วสินค้าตัวไหนบ้างที่ต้องมีเครื่องหมาย อย.


เอ…แล้วข่าวอาหารเสริมที่เขาบอกว่ามีอย. ไหงกลายเป็นอย. ปลอม! แบบนี้จะเช็กเลขอย. ได้ที่ไหนล่ะ มีแต่เรื่องน่าสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดเกี่ยวกับอย. Wongnai เลยขอขี่ม้าขาวมาไขความกระจ่าง “อย.” คืออะไร…เรื่องใกล้ตัวที่คนมองข้าม แต่ควรทำความรู้จักไว้! ให้ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ได้รู้จัก “เครื่องหมาย อย.” กันมากขึ้น ว่าคืออะไร มีไว้ทำไม พร้อมชี้เป้าช่องทางการเช็กเลขอย.

 

1. อย. คืออะไร มีแล้วชีวิตดีอย่างไร?
“อย.” ไม่ได้แปลว่า อะไร แต่อย. คือ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration) กระทรวงสาธารณะสุข ผู้คอยปกปักษ์คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับ 6 ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน และวัตถุเสพติดที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน รวมไปถึงส่งเสริมข้อมูลที่ถูกต้องถูกหลักวิชาการมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค เพื่อให้เรา ๆ มีพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสมสุขภาพดีปลอดภัยแบบเฮลตี้

2. หน้าที่ของ “อย.” ผู้พิทักษ์ของผู้บริโภค
อย. เขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ นะจ๊ะ เพราะหลัก ๆ แล้วอย. มีหน้าที่กำกับและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ และมีหน้าที่ตามกฎหมายดังนี้

1. ดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อยู่ในความรับผิดชอบ
2. กำกับดูแล และตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ก่อนออกสู่ตลาด รวมถึงคำโฆษณาผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
3. ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ผู้ประกอบการ
4. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์หลังออกสู่ตลาดและการโฆษณาผลิตภัณฑ์
5. เฝ้าระวังปัญหาหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้น
6. ส่งเสริมผู้บริโภคให้มีความรู้และศักยภาพในการเลือกผลิตภัณฑ์สุขภาพได้อย่างปลอดภัย คุ้มค่า
7. ส่งเสริมการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และเครือข่าย

 

3. ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ต้องมีเครื่องหมายอย. VS ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่มีเครื่องหมาย อย. 
รู้จักกันไปแล้วว่าใครคือ อย. และมีหน้าที่อะไร ทีนี้ก็มาถึงสัญลักษณ์ของอย. กันบ้าง นั่นก็คือ “เครื่องหมาย อย. และเลขที่จดแจ้ง” เครื่องหมาย อย. และเลขที่จดแจ้ง เป็นการบ่งบอกเพียงว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้รับอนุญาตจาก อย. ให้ผลิตหรือจำหน่าย ไม่ได้หมายความว่าอย. เป็นผู้รับรองว่าโฆษณาของผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงสรรพคุณและประโยชน์จะใช้แล้วเห็นผลจริง ฉะนั้นการดูโฆษณาจึงต้องวิจารณญาณส่วนตัวสูงประกอบการตัดสินใจด้วย
แล้วเคยสงสัยไหมว่าทำไมขนมห่อนี้มีเครื่องหมาย อย. แล้วทำไมยาสีฟันไม่เห็นมีเครื่องหมาย อย. แต่กลับอยู่ในผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ต้องมี อย. เอ๊ะ ยังไง เอ๊ะ งง!?…ไม่ต้องงงค่ะ เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทแบ่งตามเครื่องหมาย อย. เป็น
3.1 ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องมือแทย์ที่ต้องมีใบอนุญาต วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน เช่น ยาฆ่าแมลง
3.2 ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่มีเครื่องหมาย อย. ได้แก่ ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ที่ต้องแจ้งรายการละเอียด เครื่องมือแพทย์ทั่วไป วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีเลขที่จดแจ้งหรือทะเบียนยากำกับบนผลิตภัณฑ์

 

 

4. “เครื่องหมาย อย.” เช็กที่ไหน มาดูกัน
เมื่อมาถึงจุดที่เราพอจะแยกประเภทผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ต้องมีเลข อย. หรือเลขที่จดแจ้งแล้ว ก็ถึงคราวที่ต้องรู้ว่า “เลข อย. เนี่ย มันเช็กความถูกต้องอย่างไร” อย่างแรกคือ เราสามารถนำเครื่องหมาย อย. หรือเลขที่จดแจ้งบนผลิตภัณฑ์ไปเช็กได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ ระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์ หรือในเว็บไซต์อย. ที่ ตรวจเลขที่ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และถ้าใครว่ายุ่งยาก เสียเวลา ทาง อย. เขามี ORYOR Smart Application แอปพลิเคชั่นสุดล้ำให้เราโหลดไปใช้ฟรี ๆ ทั้งระบบ iOS และ Android เลยค่ะ เมื่อโหลดและติดตั้งเสร็จการเปิดใช้ก็ง่ายมาก เพราะมีฟังก์ชั่น “ตรวจเลขที่ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” โดยเฉพาะ เวลาเช็กก็ใส่ให้ครบทั้งตัวอักษรและตัวเลขนะคะ ไม่งั้นเช็กไม่ได้ แต่ถ้าขี้เกียจโหลดแอปฯ สามารถโทรเช็กได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือแอดไลน์ @FDAthai ก็ตรวจสอบเลข อย. ได้เหมือนกัน
ทีนี้พอเช็กแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเลข อย. ที่เราเห็นนี้ไม่ได้ถูกสวมมาหลอก ๆ สิ่งแรกที่สามารถสังเกตได้ง่ายที่สุดจาก หนึ่ง ชื่อผลิตภัณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สอง ชื่อการค้า (ยี่ห้อ) และสาม ชื่อผู้ประกอบการ (ผลิตโดย…) ทั้งสามชื่อนี้จะต้องเป็นข้อมูลที่ตรงกันบนตัวผลิตภัณฑ์ แต่ ๆ การเช็กและการสังเกตทั้งหมดนี้ไม่สามารถการันตีได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะเป็นของมีคุณภาพเสมอไป เพราะ “เครื่องหมายเลข อย.” หรือ “เลขที่จดแจ้ง” เป็นเพียงการมาจดแจ้งว่าจะผลิตผลิตภัณฑ์อะไร โดยมีส่วนประกอบอะไร หากไม่ผิดหลักเกณฑ์ ไม่มีส่วนผสมต้องห้ามก็สามารถจดได้ หลังจากนั้น อย. จะสุ่มตรวจภายหลังว่าสินค้านั้นทำตามที่จดแจ้งหรือไม่ (เท่ากับว่าหากเรายื่นผลิตภัณฑ์จดอย่างถูกต้อง แต่ภายหลังเราแอบใส่สารอะไรลงไปก็ได้ ตราบใดที่ อย. สุ่มตรวจไม่เจอ

 

 

5. ระวัง! คำโฆษณาเกินจริง
ฟังดูแล้วถึงผู้บริโภคอย่างเราจะมีช่องทางให้ตรวจสอบ แต่ก็ใช่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะมีประสิทธิภาพเสมอไป แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ อย่างแรกจงจำให้ขึ้นใจว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” โดยองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) มีข้อแนะนำป้องกันการหลอกลวงการโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพตามนี้
5.1 ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ารักษาโรคได้สารพัด เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสิรมสามารถรักษาโรคสมองฝ่อได้
5.2 ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองจากบุคคลว่าใช้แล้วเห็นผลจริง เช่น ผลิตภัณฑ์นี้รักษาฉันให้หายจากโรคได้
5.3 ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามาจากธรรมชาติล้วน ๆ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้แน่นอนเสมอว่าว่าวัตถุดิบจากธรรมชาติจะปลอดภัย เช่น เห็ดในธรรมชาติอาจมีพิษแฝงได้
5.4 อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่ใช้ข้อความว่า รักษาได้อย่างมหัศจรรย์ เป็นการค้นพบใหม่ เป็นการปฏิวัติทางการแพทย์
5.5 การกล่าวอ้างถึงทฤษฎีสมคบคิดระหว่างบริษัทยาและรัฐบาล เพื่อปิดบังผลการวิจัยอันมหัศจรรย์ไว้เป็นความลับ
5.6 ไม่ควรหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่าใช้แล้วเห็นผลในเวลาอันรวดเร็ว
และอีกวิธีหนึ่งคือ เช็กเครื่องหมาย อย. หรือเลขที่จดแจ้งกับคำโฆษณาว่าตรงกันหรือไม่ เช่น บนฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารจะพบการโฆษณาในเชิงบำบัด รักษา หรือบรรเทาโรค แต่ไม่พบทะเบียนตำรับยาบนผลิตภัณฑ์ กลับมีเครื่องหมาย อย. แทน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าสินค้านี้คือผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่ใช่ยาวิเศษแต่อย่างใด

 

 

 

6. ช่องทางติดต่อ อย.
ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า ผู้บริโภคอย่างเราสามารถตรวจเลข อย. ได้ด้วยตัวเอง แต่ ๆ เลขที่ออกมานั้นหวยจะตกอยู่ที่ใครก็คงเป็นเรื่องตาดีได้ ตาร้ายเสีย เพราะถึงจะเจอเลข อย. ก็ใช่ว่าจะเป็นสินค้ามีคุณภาพเสมอไป ตามข่าวดังที่ได้ออกมาอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งช่องทางหลัก ๆ ของหน่วยงาน อย. ได้แก่ สายด่วน 1556 Line @FDAthai ORYOR Smart Application เว็บไซต์กระทรวงสาธารณะสุข www.moph.go.th และเว็บไซต์ อย. www.oryor.com

 

 

 

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.wongnai.com/food-tips/oryor

Share this post